รู้จักกับผู้เขียน


yindeenakha.blogspot.com

ก่อนที่เราจะพาเพื่อนๆ เดินทางไปค้นหาเสนห์ และความสวยงามของประเทศเนเธอร์แลนด์ด้วยกัน ก็มาทำความรู้จักกับผู้เขียนก่อนนะคะ เราเกิดและเติบโตในหมู่บ้านเล็กๆในชนบท แห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ หมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่ง พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย อพยพโยกย้ายมาจากหมู่บ้านซึ่งถูกน้ำท่วม เนื่องจากการสร้างเขื่อนสิริกิติ์กั้นแม่น้ำน่าน พ่อและแม่ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นได้ย้ายตามครอบครัวมาอยู่ที่หมู่บ้านเนินสวน (ถ้าฟังจากชื่อเรียกหมู่บ้าน ก็บ่งบอกถึงภูมิประเทศได้เป็นอย่างดี ว่าเป็นหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา และเชิงเขา) ซึ่งรัฐได้จัดสรรให้อยู่อาศัย และประกอบอาชีพ ด้วยการปลูกข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ข้าว อ้อย และพืชอื่น ๆ ไปตามฤดูกาล ดังนั้นชีวิตในวัยเด็กของเราจึงไม่ใช่ชีวิตที่สุขสบายนัก แต่เราเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองลำบาก ความทรงจำในวัยเด็กของเราเป็นความทรงจำที่งดงาม ท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่น อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ และสัตว์นานาชนิด เช่น วัว ควาย เป็ด ไก่ หมา แมว กระต่าย และอื่นๆ อีกมากมาย พอเราเริ่มโตขึ้นหน่อย พอช่วยงานในไร่ได้ ในช่วงวันหยุดเราผู้เขียนก็มักจะติดสอยห้อยตาม พ่อแม่ และญาติ ๆ ไปวิ่งเล่นกับเด็ก ๆ ซึ่งเป็นเครือญาติกัน และช่วยงานในไร่บนภูเขาอยู่เสมอ ทำให้เราซึมซับความงดงามและคุณประโยชน์ของต้นไม้ ดอกไม้ ป่าเขา แม่น้ำและลำธารต่อชีวิตของเราโดยไม่รู้ตัว

yindeenakha.blogspot.com
นอกจากจะรักธรรมชาติ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เราก็รักในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ จึงทำให้เราเรียนดีอันดับต้น ๆ (ไม่อยากจะโม้ว่าเรียนเก่ง และฉลาด) เมื่อเราเรียนจบชั้นประถมศึกษา พ่อ แม่ และญาติ ๆ ก็บอกว่า เด็กผู้หญิงไม่ต้องเรียนต่อชั้นมัธยมฯ อยู่บ้าน ไปไร่ ช่วยพ่อแม่ทำงาน เดี๋ยวก็แต่งงานมีครอบครัว มีลูก (ชาวบ้านพูดอยู่ประจำว่า "เรียนไปทำไม๊ เดี๋ยวก็มีผัว") เราก็พอจำเหตุการณ์ในช่วงนั้นได้คร่าว ๆ ว่า ครูประจำชั้นมาคุยกับพ่อและแม่ที่บ้าน ให้ส่งเสียลูกสาวให้เรียนต่อมัธยมฯ และแล้วก็แทบไม่น่าเชื่อ เพราะปรากฏว่าพ่อและแม่ยอมเชื่อ เราก็เลยได้เรียนต่อชั้นมัธยมฯ สมใจ เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมฯต้น เราก็อยากไปเรียนต่อมัธยม ฯ ปลายที่โรงเรียนประจำจังหวัด เราจึงไปสมัครสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนอุตรดิตถ์ ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงประจำจังหวัด อุตส่าห์สอบติดอันดับ 5 ของการแข่งขันสอบเข้า แต่พ่อกับแม่ก็บอกว่า "ไม่ต้องไปเรียนไกลหรอก พ่อแม่เป็นห่วง เรียนต่อโรงเรียนใกล้บ้านนี่แหละ" ในที่สุดเราก็เลยต้องเรียนต่อชั้นมัธยมฯ ที่โรงเรียนใกล้บ้าน เมื่อเราเรียนจบชั้นมัธยมฯปลาย ก็สอบติดโควต้าประจำภาคเหนือ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่หนังม้วนเดิมก็กลับมาฉายอีกรอบ เพราะพ่อกับแม่อยากให้เรียนต่อที่วิทยาลัยพยาบาลอุตรดิตถ์มากกว่า อันที่จริงก็เป็นเพราะความรักและความห่วงใยที่ท่านมีต่อเรานั่นเอง แต่ตัวผู้เขียนเองนั้นตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไปเรียนต่อปริญญาตรีที่เชียงใหม่ เมื่อถึงกำหนดสอบเข้าวิทยาลัยพยาบาลอุตรดิตถ์ เราก็ดื้อ ไม่ยอมไปสอบ ในที่สุดเราก็ได้เป็นนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อย่างที่ตั้งใจไว้

เนื่องจากเป็นคนรักธรรมชาติ และเป็นคนชอบผจญภัย ในช่วงเรียนปริญญาตรี เราจึงเข้าร่วมทำกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาประจำของคณะพยาบาลศาสตร์ และค่ายอาสาพัฒนาประจำของมหาวิทยาลัยอยู่เสมอ กิจกรรมจะจัดทุกครั้งที่มีการปิดเทอม โดยการเดินทางไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล เรียกว่าไกลมาก ชนิดอยู่หลังเขา ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีปะปา มีแต่แสงสีจากดวงดาวและตะเกียงไฟ บ่อยครั้งที่ต้องเดินเท้าพร้อมสัมภาระเข้าไปในหมู่บ้านและเข้าไปพัก และร่วมทำกิจกรรมกับชาวเขาเผ่าต่าง ๆ บางครั้งก็ไปสร้างอาคารเรียน สร้างส้วม ทำกิจกรรมสนุกสนานกับเด็กนักเรียน สอนชาวเขาเกี่ยวกับสุขภาพและการใช้ยารักษาโรค การทำกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ในสมัยเรียนปริญญาตรี บวกกับการเป็นคนชอบอ่านหนังสือ การสังเกตสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบข้าง และสนใจที่จะพบเจอผู้คนที่ใช้ชีวิตแตกต่างไปจากตัวเราเอง กระตุ้นให้เรามองเห็นความสวยงามของการเดินทางท่องเที่ยว และกระตุ้นให้เรามีความสนใจด้านภูมิหลัง ประวัติศาสตร์ ประเพณีวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ 

yindeenakha.blogspot.com

เมื่อเราเรียนจบมหาวิยาลัยด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ชีวิตการทำงานของเราก็เริ่มต้นด้วยการทำงาน ทำงาน และทำงาน โดยเฉพาะการทำงานอาชีพพยาบาลในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ อย่างโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยมากกว่าจำนวนเตียงเสมอ จนต้องเสริมเตียงไปยังนอกตึกผู้ป่วยเป็นประจำ การทำงานหนักบวกกับความเป็นคนขี้สงสาร เมื่อเจอผู้ป่วยอาการแย่ลง หรือเมื่อมีผู้ป่วยเสียชีวิต เราก็มักจะรู้สึกเศร้า หนำซ้ำใช้ชีวิตก็ไม่เหมือนชาวบ้านเขา เพราะต้องทำงานขึ้นเวรบ่าย และเวรดึก เมื่อเราทำงานไปได้ปีนึง จึงคิดเปลี่ยนสายงาน เพราะเราเป็นคนชอบสอน ชอบถ่ายทอดความรู้ เมื่อมีโอกาสจึงไปสมัครสอบสัมภาษณ์เป็นอาจารย์คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลปรากฏว่า คุณสมบัติดีเลิศ ทั้งบุคลิกภาพ นิสัย ผลการเรียน ทัศนคติในการทำงาน ยกเว้น ความสามารถด้านภาษาอังกฤษแย่มาก (เจ็บใจสุด ๆ ก็เพราะเราเติบโตมาจากบ้านนอกนี่นา ไม่เคยแม้แต่จะติวภาษาอังกฤษ และเพิ่งมาเจอฝรั่งต่างชาติครั้งแรกก็ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเนี่ยแหละ อ่านเขียนภาษาอังกฤษน่ะพอได้ แต่พูดนี่สิแย่มาก แล้วจะสู้เค้าได้ไงเนี่ย) เมื่อพลาดจากการสอบสัมภาษณ์ครั้งนั้น เราจึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทสาขาสาธารณสุขศาสตร์ ซึ่งเป็นสาขาที่เน้นด้านการป้องกันโรคและการดูแลสุขภาพ และด้วยความสงสารตัวเองที่สื่อสารภาษาอังกฤษแย่มาก จึงสมัครเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม ตั้งแต่นั้น ต่อเนื่องเป็นต้นมา และด้วยจังหวะ โอกาส บวกกับความมุ่งมั่นตั้งใจ ในระหว่างที่เรียนปริญญาโทอยู่นั้น ผู้เขียนก็ได้รับคัดเลือกให้ได้รับทุนพัฒนาอาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิยาลัยบูรพา ไม่นานหลังจากนั้นก็แต่งงานในช่วงการทำปริญญานิพนธ์ และมีลูกชายคนแรกชื่อ "ณัฏฐ์ทร" 

หลังจากเราเรียนจบปริญญาโท ก็ย้ายไปทำงานที่มหาวิทยาลัยบูรพา พร้อมกับลูกชายในวัย 7 เดือน การเป็นอาจารย์รุ่นใหม่ไฟแรง บวกกับการมีลูกเล็กๆ นั้นไม่ง่ายเลย (บางคนตั้งฉายาให้เราว่า อาจารย์แม่ลูกอ่อน ฟังแล้วคุ้น ๆ เหมือนหนังญี่ปุ่นสมัยก่อน เรื่อง ซามูไรพ่อลูกอ่อน) ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาของการทดสอบความเข้มแข็ง ขยัน และความอดทนเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นช่วงที่มีความสุขกับลูกชายที่น่ารัก และกับอาชีพที่รักมากที่สุด คุณคงสงสัยว่าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอยู่ดี ๆ และหนำซ้ำยังมีความสุขดีกับอาชีพที่รัก ทำไมถึงมาใช้ชีวิตอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ คำตอบก็คือ ชีวิตพลิกผันค่ะ สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว เพราะถึงเราจะมีความสุขจากการทำงาน และจากลูกชายที่รักอย่างน้องณัฏฐ์ แต่ชีวิตการแต่งงานของผู้เขียนนั้นไม่ราบรื่นนัก จนทำให้เราต้องแยกทางกัน สาเหตุเกิดจากอะไรผู้เขียนก็ขอละเว้นไม่บอกเล่าในบล็อกนี้ เพราะจะกลายเป็นนิยายดราม่าแทนที่จะเป็นบล็อกท่องเที่ยว แต่โดยสรุปก็คือ ผู้เขียนกลายเป็นอาจารย์แม่เลี้ยงเดี่ยวในที่สุด  

yindeenakha.blogspot.com

yindeenakha.blogspot.com

อรพิน

จุดพลิกผันของชีวิตเกิดขึ้นอีกครั้ง ณ วันที่เราต้องการจะเรียนต่อปริญญาเอก เนื่องจากสถาบันที่เราทำงานอยู่มีแผนการเปิดการเรียนการสอนในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก สถาบันจึงกระตุ้น ส่งเสริม (และบังคับ) ให้อาจารย์เรียนต่อปริญญาเอก เพราะเราเองต้องการที่จะก้าวหน้าในอาชีพ และด้วยความที่เป็นอาจารย์รุ่นใหม่ อายุยังไม่มาก มีศักยภาพที่จะเรียนต่อต่างประเทศได้ เราจึงวางแผนว่าจะไปเรียนต่อในประเทศยุโรปตะวันตก คือ เยอรมันนีหรือไม่ก็เนเธอร์แลนด์ ทำไมเราถึงเลือกที่จะไปสองประเทศนี้ เราก็บอกไม่ถูก แต่ภาพมัว ๆ ลาง ๆ ของสองประเทศนี้ดึงดูดใจเราอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเราเริ่มค้นคว้าและค้นหาสถาบันที่เราอยากไปเรียนต่อ และพยายามเสาะหาและติดต่อศาสตราจารย์ที่จะรับเราไปเป็นนักศึกษาปริญญาเอก ทำให้เรามาพบรักข้ามขอบฟ้ากับหนุ่มดัตซ์ (โดยบังเอิญ) หนุ่มดัตซ์ตาสีฟ้า ตัวสูง ๆ รอยยิ้มมีเสน่ห์ สุภาพ อัธยาศัยดี ตรงไปตรงมา มีระเบียบวินัย และขณะเดียวกันก็มีความเรียบง่าย และมีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ และธรรมชาติรอบตัว 

yindeenakha.blogspot.com

ในช่วงเวลา 5 ปีที่คบหาดูใจกัน ความคิดของเราที่มีต่อประเทศเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น แต่มันก็ยังเลือนลาง เปรียบเสมือนเรากำลังยืนมองดูภูเขาลูกใหญ่ ๆ ลูกหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลมาก เราจึงมองเห็นรูปทรงและสีสันของภูเขาพร่า ๆ มัวๆ เราก็รู้ว่าภูเขาลูกนี้สวยดีนะ แต่เราก็ไม่รู้ว่าต้นไม้ ดอกไม้ หิน ดิน กรวด ทราย และต้นหญ้าบนภูเขาแห่งนี้สวยงามขนาดไหน เช่นเดียวกับภาพของประเทศเนเธอร์แลนด์ที่เราคิดถึงในตอนนั้น เราคิดถึง ทุ่งหญ้า โบสถ์ อาคารบ้านเรือน กังหันลม เราก็คิดว่าประเทศนี้สวยดีนะ แต่เราก็ยังไม่ได้สัมผัสกับเสน่ห์ของประเทศนี้อย่างแท้จริง จนเมื่อในที่สุด เมื่อเราได้มาเยือนและมาอยู่อาศัยในประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ เราจึงมีโอกาสท่องเที่ยว ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ภูมิหลัง ประวัติศาสตร์ และได้สัมผัสกับวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรม ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ เราถึงได้รู้ว่าประเทศเนเธอร์แลนด์มีเสน่ห์ ความน่ารัก และแรงดึงดูดใจ จนเราตกหลุมรักประเทศนี้อย่างจัง (แต่ยังไงก็รักเมืองไทยมากที่สุดอยู่แล้ว)

ในที่สุดก็มาถึงจุดที่เราต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง ทางเลือกแรกคืออยู่เมืองไทย มาเรียนต่อปริญญาเอกที่ประเทศเยอรมัน (เพราะในที่สุดก็มีศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย ในประเทศเยอรมันตกลงรับเราเป็นนักศึกษาปริญญาเอก) และกลับไปใช้ทุนต่อที่ประเทศไทยหลังจากเรียนจบ และมีความสัมพันธ์แบบห่างไกล เราอยู่ไทย เขาอยู่เนเธอร์แลนด์ พร้อมกับหัวใจที่เฝ้าแต่คิดถึงกันและกัน หรือทางเลือกที่สองคือย้ายตามหนุ่มดัตซ์ มาเริ่มต้นบทเรียนชีวิตบทใหม่ มาสร้างครอบครัวใหม่ในเนเธอร์แลนด์ และ...คุณคงเดาออกว่าผู้เขียนนั้นเลือก ทางเลือกที่สอง ผู้เขียนเลือกที่จะย้ายตามหนุ่มดัตซ์มาอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ แต่งงาน สร้างครอบครัวด้วยกัน และมีลูกสาวที่น่ารักด้วยกันชื่อ "ยินดี" 

yindeenakha.blogspot.com

นับจากวันแรกที่มาเยือน จนกระทั่งถึงวันนี้ เป็นเวลา 11 ปี ผ่านไป ภาพของประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ในความคิดของเรามีความแจ่มชัดมากขึ้น จนเราอยากจะเขียนถ่ายทอด และบอกเล่าประสบการณ์ เรื่องราว และข้อมูลให้คนอื่นได้อ่าน โดยเฉพาะเมื่อเราได้อ่านบทความ สารคดี และบล็อคต่างๆ เกี่ยวกับคนไทยที่มาท่องเที่ยวที่ประเทศเนเธอร์แลนด์นั้น เราพบว่าผู้เขียนบทความ สารคดี และบล็อคต่างๆ มักจะพูดถึงเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักกันทั่ว ๆ ไป ซ้ำ ๆ กัน มีบ่อยครั้งที่อ่านเจอว่าคนที่ตัดสินใจวางแผนมาเที่ยวเนเธอร์แลนด์ด้วยตัวเอง มักจะหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศเนเธอร์แลนด์ค่อนข้างยาก และคนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวเนเธอร์แลนด์ก็มักจะมาเที่ยวในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยเหมารวมประเทศเยอรมันนี เบลเยียม และลักเซมเบิร์กด้วย ดังนั้นข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับเนเธอร์แลนด์สำหรับคนไทย จึงไม่ลึกซึ้ง ไม่หลากหลาย เราจึงแอบหวังว่างานเขียนในบล็อกนี้คงช่วยให้คุณได้เพลิดเพลินกับการอ่านประสบการณ์การท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจในประเทศเนเธอร์แลนด์สไตล์ดัตซ์ ๆ ตลอดจนเรื่องราวที่น่าสนใจ รวมถึงเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ และข้อมูลที่ดีมีประโยชน์ ซึ่งจะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้คุณจัดทริปมาเที่ยวเนเธอร์แลนด์ได้ง่ายขึ้น มีสีสันขึ้น ไม่ว่าคุณจะมาเที่ยวคนเดียว มากับครอบครัว มากับเพื่อน ๆ หรือมากับบริษัททัวร์นำเที่ยวก็ตาม

yindeenakha.blogspot.com

ความคิดเห็น